ผู้ขับขี่และผู้ซ้อนท้ายต้องสวมหมวกกันน๊อคในขณะขับขี่ทุกครั้ง และหมวกกันน๊อคต้องมีเครื่องหมายรับรองคุณภาพจาก มอก. การสวมใส่หมวกกันน๊อคทุกครั้ง ต้องใส่สายรัดใต้คางให้แน่นกระชับพอดีไม่รัดแน่นหรือหลวมเกินไป โดยปกติสามารถใช้นิ้วสอดเข้าไปใต้คางได้พอดี
ควรสวมเสื้อแขนยาวที่มีสีสันสว่างสดใส เพื่อให้ผู้อื่นมองเห็นได้อย่างชัดเจนในระยะไกล
กางเกงควรเป็นกางเกงที่มีเนื้อผ้าที่หนา เช่นกางเกงยีนส์ ที่ไม่คับหรือหลวมเกินไป
ผู้ขับขี่ควรใส่ถุงมือสำหรับขับขี่รถจักรยานยนต์ เพื่อกระชับใน ขณะขับขี่และป้องกันมิให้เกิดการบาดเจ็บที่มือเมื่อเกิดอุบัติเหตุ
ควรสวมรองเท้าบู๊ทหรือรองเท้าหุ้มส้นทั้งผู้ขับขี่และผู้ซ้อนท้าย ไม่ควรสวมรองเท้าแตะในขณะขับขี่รถจักรยานยนต์ เพราะอาจทำให้เกิดการบาดเจ็บอย่างรุนแรงบริเวณเท้าเมื่อเกิดอุบัติเหตุ
ไม่ดื่มสุราของมึนเมาก่อนการขับขี่ (เมาไม่ขับ) เพราะอาจทำให้เกิดอันตราย และกฎหมายกำหนด ห้ามมีปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดไม่เกิน 50 มิลลิกรัมเปอร์เซนต์
พักผ่อนให้เพียงพอก่อนจะขับขี่และไม่ควรขับขี่กรณีที่รับประทานยาที่มีฤทธิ์ต่อระบบประสาท อาจทำให้เกิดง่วงซึม ซึ่งจะทำให้การตัดสินใจช้าลง เมื่อมีการบาดเจ็บ รู้สึกเป็นไข้ ง่วงซึม ไม่ควรขับขี่
ขณะขับขี่ไม่โทรศัพท์เพราะจะไม่มีสมาธิในการขับขี่เต็มที่ สภาพจิตใจ มีเรื่องให้คิดมาก ไม่ควรจะขับขี่ และสภาวะเร่งรีบ ร้อนรน อารมณ์โกรธ โมโห เหม่อลอย หรือ มีเรื่องสะเทือนใจ
การกระทำใดๆ ขณะขับขี่อยู่บนถนน ต้องไม่ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน หรือ ได้รับอันตราย มีความเอื้อเฟื้อ แบ่งปันในการเดินทางให้แก่กันและกัน ตัวอย่างเช่น ไม่แซงปาดหน้า,ไม่เปิดไฟสูงเมื่อมีรถวิ่งสวนทาง
เครื่องหมายบังคับ หมายความว่า ต้องปฏิบัติตามเครื่องหมายนั้นๆ มีความหมายเป็น 2 ลักษณะ คือห้ามปฏิบัติและให้ปฏิบัติ ถ้าฝ่าฝืนมีโทษตามกฎหมายและอาจเกิดอันตรายได้
เครื่องหมายเตือนหมายความว่าเตือนให้ผู้ขับขี่ทราบว่าสภาพทางข้างหน้าเป็นอย่างไร เพื่อจะได้เตรียมการปรับการขับขี่ให้เหมาะสมปลอดภัยในเส้นทางนั้นๆ ถ้าไม่ปฏิบัติตามอาจเกิดอันตรายได้
เครื่องหมายจราจรบนพื้นทางประเภทบังคับหมายถึง ต้องปฏิบัติตามเพื่อความปลอดภัย ถ้าฝ่าผืนอาจเกิดอันตรายและมีโทษตามกฎหมาย
ผู้ขับขี่ต้องรวบรวมข้อปฏิบัติทั้งหมดที่ผ่านมาทำการฝึกฝนเพื่อเพิ่มความชำนาญในการขับขี่ นอกจากนั้นควรศึกษาและปฏิบัติตามกฎจราจรอย่างเคร่งครัด สร้างจิตสำนึก ความปลอดภัยและทัศนคติที่ดีต่อกันในการขับขี่อย่างถูกต้อง เพื่อที่จะสามารถใช้รถใช้ถนนร่วมกับผู้อื่นได้อย่างปลอดภัย
ท่านต้องหมั่นฝึกฝนปฏิบัติตามแนวทางที่เรียนมาอย่างเป็นแบบแผน บทเรียนในภาคทฤษฎีเหล่านี้จะช่วยพัฒนาให้เกิดความชำนาญในการขับขี่อย่างปลอดภัย ทั้งยังต้องมีความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับสิ่งต่อไปนี้
1) ช่องทางเดินรถ
2) ป้ายบังคับ, ป้ายเตือน
3) ไฟสัญญาณ และเครื่องหมายจราจร
4) การเปลี่ยนช่องทางเดินรถ
5) การเลี้ยวขวาและเลี้ยวซ้าย
6) การขับขี่ผ่านทางร่วมทางแยก
7) เส้นเครื่องหมายบนพื้นผิวทาง
8) การขับขี่รถในวงเวียน
การเลือกใช้เกียร์ และการใช้เครื่องยนต์ช่วยเบรคเมื่อเดินทางขึ้นหรือลงเนินเขา ผู้ขับขี่ควรปรับความเร็วของรถ เลือกใช้เกียร์ที่เหมาะสมและควบคุมเบรค (ห้ามล้อ) โดยวิธีแตกต่างจากการขับขี่บนทางเรียบ
ก. วิธีหยุด
1. ผู้ขับขี่ต้องมองสิ่งต่างๆรอบตัว เพื่อความปลอดภัย ให้สัญญาณและเบนรถเข้าชิดขอบทางด้านซ้ายของถนน
2. ให้เบรกทั้งล้อหน้าและล้อหลัง หยุดรถอย่างนุ่มนวล ยันเท้าข้างซ้ายลงพื้นเพื่อให้พยุงตัวรถไว้
3. บีบคลัทช์ก่อนเครื่องยนต์ดับ เข้าเกียร์หนึ่ง แล้วใช้เท้าขวาเหยียบเบรกเพื่อป้องกันรถไถลข้างหลัง
ข. วิธีออกรถ
1. ผู้ขับขี่ต้องมองไปรอบๆ เมื่อปลอดภัยแล้วจึงให้สัญญาณ
2. เร่งเครื่องยนต์ (ประมาณ 3,000 รอบต่อวินาที)
3. ปล่อยคลัทช์ช้าๆ จนรู้สึกว่ารถกำลังเริ่มเคลื่อนตัว (ให้บีบคลัทช์ไว้ในตำแหน่งนี้ก่อน)
4. ปล่อยเบรกเท้าและเร่งเครื่องยนต์
5. ออกรถโดยปล่อยคลัชท์ช้าๆ
ค. การใช้คันสตาร์ทให้เครื่องยนต์ติดในขณะอยู่บนเนิน
1. ใช้เบรกหน้า
2. ต้องแน่ใจว่ารถอยู่ในตำแหน่งเกียร์ว่าง
3. ใช้เท้าถีบคันสตาร์ท
4. เข้าเกียร์ 1
5. แล้วใช้เบรกหลัง
ต้องระลึกไว้เสมอว่าการขับขี่ที่มีคนซ้อนท้ายต้องอาศัยความชำนาญมากกว่าการขับขี่คนเดียว การเดินเครื่องและลักษณะท่าทางจะแตกต่างกันไปหลายประการ ดั้งนั้นจึงต้องการความระมัดระวังมากขึ้นในการขับขี่
ก. การขับขี่ทั่วไป
- รถอาจจะส่ายไปมา แล่นช้า หรือเปลี่ยนทิศทางรวดเร็ว ต้องเว้นที่ว่างให้พอระหว่างตัวเราและตัวรถทั้งด้านขวาและด้านซ้าย ไม่ควรเปลี่ยนทิศทางในทันทีทันใด
- การกระทำใดๆ โดยฉับพลันอาจก่อให้เกิดความสับสนและอันตราย ผู้ขับขี่ควรขับขี่ด้วยความระมัดระวังเพื่อความปลอดภัย
ข. การเข้าโค้ง
- เนื่องจากรถมักจะหลุดโค้ง จึงควรลดความเร็วก่อนเข้าโค้ง ผู้ขับขี่ควรเข้าโค้งช้ากว่าตอนขับคนเดียว
- ผู้โดยสารควรเอียงตัวไปในทิศทางเดียวกันกับรถ
ค. การเบรก (การหยุดรถ)
- ไม่ควรหยุดรถในระยะใกล้ๆ หรือกระชั้นชิดเกินไป
- ควรหยุดรถทิ้งช่วงห่างจากรถคันหน้าพอสมควร
- ควบคุมเบรก และเบรกอย่างนุ่มนวล
- ใช้ทั้งเบรกมือและเบรกเท้าพร้อมกัน
- เมื่อผู้ขับขี่เบรกกระทันหัน น้ำหนักของผู้โดยสารจะทับลง (จะเกิดแรงส่ง) มาบนหลังผู้ขับขี่
- ผู้ขับขี่ต้องกดข้อศอกมาชิดกับลำตัว จับคันบังคับของรถให้แน่น เตรียมพร้อมที่จะรับน้ำหนักร่างกายส่วนบนด้วยท่อนแขน
- ยกหัวเข่าสูงขึ้นและแนบลำตัวรถเพื่อป้องกันมิให้สะโพกเคลื่อนไปข้างหน้า
ผู้ขับขี่ควรปฏิบัติตามแนวทางที่ได้ฝึกฝนมาจากบทเรียนในภาคทฤษฎี สิ่งเหล่านี้จะช่วยพัฒนาให้เกิดนิสัยการขับขี่ที่ปลอดภัยบนสภาพถนนทุกรูปแบบสิ่งสำคัญต่อไปนี้ ผู้ขับขี่ทุกคนพึงนำไปปฏิบัติอย่างถูกต้องเพื่อความปลอดภัย
- การปรับระดับความเร็ว
- ระยะห่างในการหยุด
- การขับแซง
- การแล่นแซง และการถูกแซง
- การขับขี่ในเวลากลางคืน
- การขับขี่ในขณะฝนตก
“อุบัติเหตุลดลงได้ ถ้าทุกคนมีวินัยจราจร”
ก. การขับขี่ทั่วไป
1. ใช้มือทั้งสองข้างจับแฮนด์รถ อย่าให้หน้ารถหันไปด้านซ้ายหรือขวา
2. ดันรถไปข้างหน้าด้วยแขนทั้งสองข้าง พร้อมกับใช้สะโพกด้านข้างดันรถไว้เพื่อมิให้รถล้ม
3. ขณะรถกำลังเคลื่อนตัวลงจากขาตั้ง กลางให้ใช้มือขวาค่อยๆ บีบเบรกหน้า เพื่อช่วยป้องกันมิให้รถลื่นไถลไปข้างหน้าได้อย่างรวดเร็ว
ข. ใช้ขาตั้งกลาง
ก. ใช้ขาตั้งข้าง
1. เลือกพื้นถนนที่แข็งเพื่อมิให้พื้นเกิดการยุบตัว
2. ใช้มือซ้ายจับที่แฮนด์ มือขวาจับที่ด้านหลังหรือจะใช้มือทั้งสองข้าง จับที่ยึดที่แฮนด์ด้านหน้าอย่างเดียวก็ได้ รักษาตำแหน่งรถให้ตั้งตรงใช้เท้าขวาถีบขาตั้งข้างลงมาจนสุด
3. ค่อยๆ เอียงรถช้าๆ จนกว่าขาตั้งข้างจะสัมผัสกับพื้นถนน จับแฮนด์รถหันไปทางซ้ายในตำแหน่งล๊อคคอรถ
4. ใส่เกียร์รถไปที่ตำแหน่งเกียร์ 1 เพื่อป้องกันรถลื่นไหล
ข. การเก็บขาตั้งข้าง
1. ยกรถขึ้นจนกระทั่งปลายขาตั้งข้าง พ้นจากพื้นถนน ตำแหน่งรถตั้งตรง
2. ใช้ปลายเท่้าขวาเตะขาตั้งข้างขึ้นเก็บเข้าที่เดิม
ก. การจูงรถไปข้างหน้า
1. ใช้มือทั้งสองข้างจับแฮนด์มือขวาพร้อมที่จะใช้เบรกหน้าได้ตลอดเวลาเมื่อจำเป็น
2. รักษาตำแหน่งรถให้เอนเข้าหาลำตัวเล็กน้อย
3. ใช้ลำตัวแนบเข้ากับตัวรถดันมิให้รถล้ม พร้อมกับออกแรงดันรถไปด้านหน้า
ข. การจูงรถรูปเลข 8
1. เมื่อต้องการจูงรถไปทางด้านซ้ายให้หันแฮนด์รถไปทางซ้ายเอียงรถเข้าหาลำตัวเล็กน้อย
2. เมื่อต้องการจูงรถไปทางด้านขวาให้หันแฮนด์รถไปทางขวาพร้อมกับใช้สะโพกซึ่งเอนเข้าหาลำตัวตัวรถไว้อยู่ตลอดเวลา
ค. การจูงรถถอยหลัง
1. ใช้มือซ้ายจับแฮนด์ มือขวาจับที่มือจับด้านหลัง
2. ค่อยๆ ดันรถไปทางด้านหลังช้าๆ ระวังอย่าให้หน้ารถส่ายไปมา
กรณีรถล้มลงทางด้านซ้ายมือ
1. ใช้มือทั้งสองจับที่แฮนด์ทั้งสองข้าง มือขวาบีบเบรกหน้าเอาไว้
2. ค่อยๆ ยกรถขึ้นด้วยมือทั้งสองข้าง ใช้เข่าและสะโพกแนบกับตัวรถ ค่อยๆ ดันรถขึ้นช้าๆ ในจังหวะเดียวกัน จนกว่ารถจะตั้งตรง
3. ใช้เท่้าขวาเขี่ยขาตั้งข้างลง ค่อยๆ เอียงรถจนกระทั่งปลายขาตั้งข้างสัมผัสกับพื้นถนนอย่างมั่นคง
การขึ้นรถ - ลงรถ การขึ้นหรือลงรถทุกครั้งให้ใช้มือขวาบีบคันเบรกหน้าไว้ให้มั่นคงไม่เคลื่อนไหว แล้วหันมองดูด้านหลังจนแน่ใจว่า ไม่มีรถคันอื่นตามหรือวิ่งแซงมา หรือไม่มีสิ่งกีดขวางใดๆ แล้วจึงก้าวขึ้นรถ ตามความเหมาะสมของประเภทรถหรือเพศ, วัย และการแต่งกาย (กางเกง, กระโปรง)
1. มองดูรถคันหลัง และผู้เดินถนนในกระจกมองหลัง
2. ใช้เท้าขวาวางบนพื้นถนนเพื่อพยุงรถไม่ให้ล้ม
3. หลังจากทำการสตาร์ทเครื่องยนต์ตามขั้นตอนของการสตาร์ทแล้ว ค่อยๆบีบคันคลัทชมาด้านหลังช้าจนสุดเลือกใช้เกียร์หนึ่ง
1. ก่อนที่จะออกรถหันมองดูด้านเหนือไหล่ขวา ว่ามีรถคันอื่นวิ่งมาหรือไม่
2. เพื่อเพิ่มความปลอดภัยให้เปิดไฟเลี้ยวขวา
3. ทิ้งน้ำหนักตัวไปที่ทางซ้ายเท้าขวาวางที่คันเบรคหลัง
4. บิดคันเร่งช้าๆ ให้รอบเครื่องยนต์อยู่ที่ 2,000 - 3,000รอบ/นาที แล้วหยุดค้างไว้
1. ปิดสวิทช์ไฟเลี้ยวหลังจากที่รถออกตัวเรียบร้อยแล้ว
2. บิดคันเร่งเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเพื่อทำให้เครื่องยนต์มีกำลังมากขึ้น
3. ปล่อยคันคลัทซ์จนสุด
ก. ท่าทางการขับขี่
1. การเอียงตัว ควรเอียงตัวไปในทิศทางเดียวกันกับรถ ซึ่งเป็นธรรมชาติที่จะต้องเอียงตัวไปในทิศทางของทางโค้ง
2. ศีรษะตั้งตรง อย่าเอียงไปทิศทางเดียวกับรถ
3. ห้ามเอียงรถมากเกินไป
4. เท้าทั้งสองวางอยู่บนที่พักเท้าตลอดเวลา
ข. การมอง
1. มองไกลไปข้างหน้าตรงจุดที่ต้องการจะไป
2. ห้ามก้มมองลงที่พื้นหรือก้มหน้า
โดยปกติในขณะที่ขับขี่รถไปบนทางโค้ง ผู้ขับขี่จะต้องเอียงตัวรถไปในทิศทางเดียวกันกับทางโค้งที่จะไปข้างหน้า เราเรียกอาการเช่นนี้ว่า “การเอียงรถ { LEAN }”
ในขณะขับขี่รถด้วยความเร็วต่ำ จะทำให้เกิดเสียการทรงตัว รถส่ายไปมาได้ง่ายในบทเรียนรู้ถึงวิธีการทรงตัวในขณะที่ขับขี่รถด้วยความเร็วต่ำโดยทดสอบบนไม้กระดานแคบๆ
1. หยุดรถก่อนจะถึงไม้กระดานแคบ ตั้งล้อหน้าให้ตรง
2. เลือกใช้เกียร์ 1 ในการออกรถ เมื่อล้อหน้าอยู่บนไม้กระดานและค่อยๆ ควบคุมรถให้ล้อหน้าตั้งตรง
3. ขับขี่ด้วยความเร็วที่คงที่ช้าๆ
4. (4.1) พยายามควบคุมรถให้ช้าที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ โดยใช้ส่วนบังคับ เช่น คันเร่ง,เบรกหลังและคลัทช์ให้สัมพันธ์กัน (4.2) แนบเข่าทั้งสองข้างไว้กับถังน้ำมัน ถ้ารถเริ่มส่ายไปทางซ้ายหรือทางขวา ให้รีบแก้ไขด้วยการบังคับแฮนด์ให้ตรงหรือโยกตัวขึ้นเพื่อถ่ายน้ำหนักให้สมดุล (4.3) สายตามองตรงไปข้างหน้า
ต้องคำนึงถึงขนาดของตัวรถและศึกษาเส้นทางเสียก่อนว่า ล้อหน้าและ ล้อหลังของรถจะสามารถผ่านไปในช่องทางคับแคบนั้นได้หรือไม่ในขณะที่รถเลี้ยวไปมา
ก. คาดคะเนขนาดของตัวรถว่าที่สามารถที่จะขับขี่ผ่านไปในช่องทางแคบๆ ทั้งสองข้างนั้นได้หรือไม่
ข. ขณะขับขี่ในทางคับแคบคดเคี้ยว โดยมีเครื่องหมายอยู่ที่ล้อทั้งสองข้าง จะแสดงถึงความแตกต่างของแนววิ่งของล้อหน้าและล้อหลัง วิธีขับขี่ในทางคับแคบ
ขณะขับขี่ผ่านทางคดเคี้ยวที่มีสิ่งกีดขวาง ต้องคำนึงถึงความสัมพันธ์ของ ผู้ขับขี่กับรถ และการทรงตัว ฝึกฝนซ้ำๆ ตั้งแต่ความเร็ว 10 กม./ชม. จนถึง 30 กม./ชม. จนมั่นใจว่าสามารถบังคับคันเร่งและห้ามล้อได้ รู้จักการเอียงไปทางซ้ายหรือขวา และการตั้งตรง ทั้งหมดนี้จะช่วยพัฒนาทักษะที่จำเป็นสำหรับการขับขี่อย่างปลอดภัย
ทำตามขั้นตอนต่อไปนี้ดังภาพ
1. ตามองตรงล่วงหน้าไปที่กรวยยาง แถวที่ 3
2. ควบคุมรถให้ตั้งตรง
3. เริ่มเอียงตัวรถไปทางซ้าย
4. บิดคันเร่งเพื่อให้รถ เริ่มทรงตัวตั้งตรง
5. ตั้งรถตรงและผ่อนคันเร่ง
6. เอียงรถไปทางขวา
ให้ผู้ขับขี่ทำการทบทวนโดยรวมข้อปฏิบัติในบทที่หนึ่งและบทที่สอง เพื่อช่วยให้เกิดความชำนาญในการใช้รถจักรยานยนต์อย่างปลอดภัย ควรตรวจสอบรายการต่อไปนี้ว่าท่านมีความสามารถทำได้ครบถ้วน และถูกต้องหรือไม่
หากท่านติดขัดหรือไม่สามารถทำได้อย่างถูกต้องในข้อใดข้อหนึ่ง จงพยายามหมั่นฝึกฝนให้บ่อยครั้งในหัวข้อนั้นๆ จนกว่าท่านจะรู้สึกว่าทำได้อย่างคล่องแคล่วและถูกต้องแล้ว